Thursday, June 29, 2017

10 อันดับสัตว์มีพิษ

10 อันดับสัตว์มีพิษ
อันดับที่ 10 ทากทะเล



ทะเลเป็นบ้านของสัตว์ต่างๆ ที่มีสารเคมีเป็นอาวุธ บางชนิดใช้มันเพื่อฆ่าเหยื่อ แต่บางชนิดใช้มันเพื่อขับไล่นักล่า สัตว์ชนิดนี้ไม่ได้สร้างพิษของมันเอง แต่มันใช้สารพิษจากดอกไม้ทะเล ดอกไม้ทะลมีสารพิษนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) อันทรงพลัง ซึ่งเก็บอยู่ในเซลล์เข็มจิ๋วจำนวนมาก เข็มพิษเหล่านี้สามารถเผยโฉมในเสี้ยววินาที แต่มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถปลดอาวุธดอกไม้ทะเลนั่นก็คือทากทะเล ทากทะเลก็เหมือนหอยทากทะเล แต่ไม่มีเปลือกมาปกป้องตนเอง ดังนั้นสัตว์ชนิดนี้จึงต้องหาวิธีอื่นในการระวังตนเอง ทากทะเลไม่เพียงแค่กินดอกไม้ทะเล พวกมันยังขโมยเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลและเก็บเอาไว้ในปลายอวัยวะที่ยื่นออกมาจากปลายหลังของมัน นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จริงๆ ว่าทากทะเลสามารถกลืนเซลล์เข็มของดอกไม้ทะเลโดยไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร มีข้อสันนิษฐานว่า ในระบบการย่อยของมันทำให้สารพิษมีความเป็นกลางเมื่อย่อยแล้วเซลล์เข็มเหล่านี้ก็เดินทางไปสู่ส่วนปลายที่หลังของมัน ทากทะเลไม่สนเรื่องการพรางตัว มันแสดงความเป็นพิษของมันด้วยสีที่ฉูดฉาดและลวดลายที่เด่นชัด

อันดับที่ 9 กิ้งกือ ( Millipede)


มันเป็นสัตว์ที่รู้เรื่องแก๊สพิษเป็นอย่างดี ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ากิ้งกือเป็นสัตว์กินพืชทีไม่มีอันตราย แต่ถ้ามันถูกคุกคามมันสามารถปล่อยกลิ่นที่แม้แต่นักล่าที่หิวโหยที่สุดยังต้องอุดจมูก ระบบป้องกันทางเคมีของกิ้งกือไม่ได้มาจากเท้าของมัน และทั้งๆที่มันมีเท้าถึง 750 ข้าง กิ้งกือก็ไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก ถ้ามันถูกคุกคามมันจะขดตัวม้วนเป็นก้อนกลม และปล่อยแก๊สพิษออกมาจากช่องข้างลำตัว กิ้งกือหนึ่งตัวสามารถผลิตแก๊สพิษที่เป็นสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้เกือบ 1 ออนซ์ นั่นมากพอที่จะฆ่าสัตว์ที่มีขนาดเท่าๆกับหนูได้อย่างสบาย ที่แปลกก็คือตัวแบล็ก ลีเมอร์ (Black Lemur) แห่งมาดากัสการ์ พัฒนาจมูกให้สามารถป้องกันพิษของกิ้งกือ ก่อนอื่นมันจะแหย่กิ้งกือให้ปล่อยพิษออกมา จากนั้นก็จะจับกิ้งกือถูเข้ากับตัวเองไปมา มันค้นพบว่ากลิ่นของกิ้งกือช่วยป้องกันยุงได้ดี และพิษของกิ้งกือมีผลเพียงเล็กน้อยกับตัวแบล็ก ลีเมอร์หรือมนุษย์


อย่างไรก็ตามมนุษย์คนนึงค้นพบวิธีประหลาดที่ใช้สารเคมีจากแมลงชนิดหนึ่ง นับหลายร้อยปีมาแล้ว มนุษย์เคยได้ยินเรื่องพลังของยาโป๊วที่ชื่อว่า แมลงวันสเปน ตัวยาเกิดจากแมลงปีกแข็งก่อกวนแมลงวันสเปนแล้วมันจะหลั่งของเหลวมีพิษคล้ายกับเนย ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะเพิ่มการหมุนเวียนของโลหิต และกระตุ้นความต้องการทางเพศ นั่นเป็นสาเหตุที่มาคีส์ เด เซด (Marquis De Sade) ผสมแมลงวันสเปนไปในของหวานให้กับแขกของเขา โชคร้ายที่พวกเขาทานมากเกินไป ดังนั้นแทนที่จะรู้สึกถึงอารมณ์แห่งรัก พวกเขากลับล้มป่วย มาคีส์ถูกจองจำและถูกตัดสินในฐานะนักโทษอุกฉกรรจ์ ไม่มีใครใช้สารเคมีจากกิ้งกือในการทำเสน่ห์ อาจเป็นเพราะการดมไฮโดรเจนไซยาไนด์อาจทำลายอารมณ์โรแมนติกใดๆ ก็ได้

อันดับที่ 8 ผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch Butterfly)



เมื่อคุณมีพิษเต็มตัวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่สัตว์ในอันดับที่ 8 มีสีส้มดำฉูดฉาด นี่คือผีเสื้อโมนาร์ช (Monarch) ทุกฤดูหนาวของภูเขาใน Central Mexico คุณสามารถพบเห็นผีเสื้อโมนาร์ช 20,000 ตัวบนกิ่งไม้ และออกันอยู่ในบริเวณนี้กว่า 220 ล้านตัว พวกมันปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนกล้าแตะต้องพวกมัน ก็เพราะต้นไม้ที่ชื่อ มิลค์วีด (Milkweed) มีสารพิษที่ชื่ออัลคาลอยด์ที่มีพิษร้ายแรงขนาดปริมาณแค่ 1 ออนซ์ ก็สามารถฆ่าแกะได้ ผีเสื้อโมนาร์ชตัวเมียอาศัยต้นมิลค์วีดเหล่านี้เพื่อเลี้ยงดูลูกของมัน ดักแด้ของโมนาร์ชกินมิลค์วีดกันอย่างเดียว พวกมันจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักจากแรกเกิดอีก 15 เท่า พวกมันถึงจะพร้อมกลายเป็นผีเสื้อ พวกมันจะสะสมอัลคาลอยด์ในเนื้อเยื่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันต้องกินยาพิษที่ช่วยปกป้องพวกมันจากนักล่าในช่วงที่พวกมันมีชีวิต ผีเสื้อโมนาร์ชเป็นสัตว์พิษในอันดับที่ 8 เพราะการกลืนอัลคาลอยด์จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจหยุดเต้นได้

ผีเสื้อโมนาร์ชไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่ใช้สารพิษจากพืช มนุษย์ก็เช่นกัน ผู้ปกครองของโรมโบราณทราบดีถึงการใช้ต้นไม้มีพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นเบลลาดอนนา (Belladonna) หรือ เดธลี่ ไนท์เชด (Deathly Nightshade) ที่เต็มไปด้วยอัลคาลอยด์ที่เต็มไปด้วยอะโทรปิน (Atropine) ซึ่งเป็นสารพิษ ในปริมาณที่พอเพียงสิ่งนี้อาจทำให้หัวใจล้มเหลว หนึ่งในนักโทษที่อื้อฉาวในประวัติศาสตร์ ลิเวียพระชายาของจักรพรรดิ ออกุสตัส (Augustus) บางคนเชื่อว่าพระนางใช้เบลลาดอนนา เพื่อวางยาพิษเหยื่อที่ไม่ได้คาดคิดรวมถึงพระสวามีของพระนาง

เมื่อตัวเต็มวัยของผีเสื้อโมนาร์ชออกจากดักแด้ของมัน พิษของตัวเต็มวัยก็พอๆ กับในตัวดักแด้เพราะมันสะสมอัลคาลอยด์อยู่ในเกล็ดบนปีกของมัน อย่างไรก็ตามมีการศึกษาว่าพิษของผีเสื้อโมนาร์ชนั้นลดลงตามอายุของมัน ก็เพราะเวลาที่ล่วงเลยเกล็ดบนปีกของมันก็เริ่มจะร่วงหล่น

อันดับที่ 7 แมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier)


บางครั้งคุณไม่ต้องการห้องทดลองที่ใช้ผสมยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก สัตว์ในอันดับ 7 ของเราสามารถผลิตระเบิดในบั้นท้ายของมันเอง มันคือแมลงปีกแข็งบอมบาร์ดิเออ (Bombardier) มันไม่รอให้นักล่ามาลิ้มรสเรือนร่างที่มีพิษของมัน เมื่อแมลงบอมบาร์ดิเออเจอปัญหา มันปกป้องตัวเองด้วยการพ่นสารเคมีที่แสบร้อนจากด้านหลังของมันเอง ต่อมที่อยู่ด้านหลังของแมลงบอมบาร์ดิเออ ผลิตไฮโดรควิโนน สารเคมีมีพิษที่เราใช้เหมือนกับน้ำยาล้างฟิล์ม ต่อมอีกต่อมหนึ่งสร้างสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สารเคมีแบบเดียวกับที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงจรวด เมื่อสารเคมีทั้งสองอย่างถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ปฏิกิริยาความร้อนมีมากถึง 212 องศาเซลเซียส ละอองพิษที่แสบร้อนถูกดันออกไปจากหัวฉีดเล็กๆ ด้วยแรงระเบิดที่รวดเร็วสุดๆ มันสามารถฉีดพิษได้ถึง 700 ครั้งต่อวินาที

อันดับที่ 6 คางคกเคน (Cane Toad)


สัตว์ตัวนี้ผลิตพิษที่ทรงพลังพอที่จะทำให้หัวใจหยุดเต้น คางคกเคนอาจดูอ่อนแอแต่มันเต็มไปด้วยพิษ ต่อมที่ผลิตสารพิษอยู่ในผิวหนัง แต่พวกมันมารวมตัวกันอยู่ในบริเวณตรงหัวไหล่ ต่อมพวกนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมเพื่อให้พิษเข้าไปในปากของนักล่าได้รวดเร็ว มันเป็นสัตว์ที่รักสงบและปล่อยสารพิษเมื่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอันตรายเท่านั้น ไม่เคยมีใครตายเพราะคางคกเคนในออสเตรเลีย แต่มีครั้งหนึ่งที่คางคกมีส่วนในการฆาตกรรม เมื่อนักโบราณคดีขุดพบที่ตั้งมายันโบราณในอเมริกากลาง เขาพบกระดูกของคางคกหลายพันตัว มีข้อสันนิษฐานว่า นักบวชมายันรีดพิษของคางคกเพื่อใช้มันในพิธีบูชายัญ มันคือยาวิเศษในพิธีบวงสรวงของพวกเขา เมื่อเสพยาพิษนี้เข้าไป เหยื่อบูชายัญจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และถูกสังเวยให้กับเทพเจ้าที่น่ากลัว

อันดับที่ 5 งูเห่า (Cobra)



สัตว์ชนิดนี้พบวิธีพิเศษเพื่อใช้พิษในการหลบหนีปัญหา เลื้อยมาสู่อันดับที่ 5 นั่นก็คืองูเห่า พิษงูเห่าน้อยกว่า 1/10 ช้อนชา ก็สามารถฆ่ามนุษย์ได้แล้ว และมันสามารถใช้พิษของมันโดยไม่ต้องกัดเหยื่อ ในการขู่ของมัน มันสามารถพ่นพิษออกไปได้ไกล 11 ฟุต อย่างแม่นยำ การวิจัยระบุว่างูเห่าจะเล็งไปที่เนื้อเยื่อดวงตาที่มีความรู้สึกไว ที่ซึ่งพิษดูดซึมอย่างรวดเร็วและสามารถทำให้ตาบอดถาวร ได้มีการจำลองติดดวงตาไว้ที่หุ่น และแม้ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งไปที่ไหน งูเห่าก็จะพ่นพิษไปที่ดวงตาทุกครั้ง ความลับในความแม่นยำของงูเห่าอยู่ในโครงสร้างของเขี้ยว ในงูส่วนใหญ่พิษเดินทางผ่านช่องโพรงภายในฟันด้วยแรงดันต่ำ แต่ในงูเห่าพ่นพิษ ช่องทางเปิดในมุมที่เหมาะสมที่ปลายเขี้ยว พ่นพิษออกไปด้วยแรงดัน ก็เหมือนกับงูทุกชนิดพิษของงูเห่าประกอบด้วยโปรตีนและเอนไซม์ที่แตกต่างกันหลายร้อยชนิด ขณะที่งูเห่าพ่นพิษใช้มันเพื่อให้นักล่าถอยห่าง

อันดับที่ 4 นกพิทุย (Pitohui Bird)



นี่คือสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้ว่ามีพิษจนกระทั่งปี 1989 ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ว่าหนึ่งในนกกว่า 9,000 ชนิดจะมีพิษ จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งใช้ตาข่ายจับนกในปาปัวนิวกินีเพื่อศึกษา หลังการตรวจสอบนกที่มีชื่อว่า พิทุย (Pitohui) นักวิจัยเอานิ้วเข้าไปแหย่ในปาก เขาไม่รู้ว่าเขาถูกวางยาจนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นของเขาเริ่มชา เขาเก็บตัวอย่างจากนกเพื่อส่งกลับสู่ห้องทดลอง การทดสอบยืนยันว่าผิวหนังและขนของนกพิทุยมีพิษที่ชื่อว่า เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สามารถฆ่าหนูในไม่กี่นาที และยิ่งกว่านั้นยิ่งพิษแรงแค่ไหนนกก็จะยิ่งมีสีสดเท่านั้น มีการค้นพบว่านกพิทุยมีพิษน้อยที่สุดในสามพันธุ์ นกพิทุยสลับสีมีพิษปานกลาง และนกพิทุยที่มีแผงคอสีสดมีพิษมากที่สุด เชื่อกันว่าพิษของนกพิทุยอาจช่วยป้องกันปรสิตและป้องกันตัวจากนักล่า พิาไม่แรงพอที่จะฆ่าคนแต่มันอธิบายได้ว่าทำไมชาวปาปัวนิวกินีถึงตั้งฉายานกพิทุยว่านกสวะ พวกเขารู้ดีว่าถ้ากินนกพิทุย กลิ่นปากของพวกเขาจะเหม็นสุดๆ เมื่อนักวิจัยไปเยี่ยมนักธรรมชาติวิทยาชาวนิวกินี เพื่อค้นหาว่านกมีพิษได้อย่างไร พวกเขาร่วมกันวิจัยค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินเข้าไปนั้นมี เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) เช่นกัน ดูเหมอืนว่านกพิทุยเป็นดั่งคำฝรั่งที่ว่า You are wat you eat จริงๆ และเป็นเรื่องน่าแปลกที่ไม่เฉพาะนกพิทุยที่มีพิษชนิดนี้เท่านั้น เราจะพบพิษนี้ได้ในสัตว์พิษอันดับต่อไป

อันดับที่ 3 หมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) 


มันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และขนาดเพียงแค่ลูกกอล์ฟก็สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คน มันก็คือหมึกบลูริงก์ (Blue Ring Octopus) ชื่อของมันมาจากวงแหวนสีฟ้าสดใสของมัน และจะเปล่งแสงเตือนเฉพาะเวลาที่มันถูกคุกคาม มันมีสารพิษที่ชื่อนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าไซยาไนด์ หมึกใช้สารพิษเพื่อป้องกันตัวเองและจู่โจมเหยื่อ หมึกชนิดนี้สร้างพิษของมันโดยต่อมน้ำลายที่ถูกดัดแปลงสองต่อม แต่ละต่อมใหญ่เท่ากับสมองของมัน ขณะที่มันล่าเหยื่อ อาจจะขาดความแม่นยำอย่างงูเห่าพ่นพิษ แต่มันสามารถพ่นน้ำลายพิษหรือฉีดพิษเข้าไปจากการกัดโดยจงอยปากอันทรงพลังของมัน สารพิษจะค้นหาเซลล์ประสาทและปิดกั้นการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ในชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที เหยื่อเป็นอัมพาตทันที ระบบหายใจเริ่มหยุดทำงาน หมึกบลูริงก์ก็จะกินอาหารโดยไม่มีการต่อสู้ มันไม่ได้สร้างพิษของมันเอง นักวิจัยค้นพบว่ามันเป็นพวกแบ็คทีเรียที่ผลิตนิวโรท็อกซินที่ร้ายแรง แบคทีเรียเหล่านี้อาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของหมึก

อันดับที่ 2 ปลาปักเป้า (Puffer Fish)


มันไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนอย่างที่เห็น อาวุธของมันคือสารพิษเตตร้าด็อกซิน (Tetrodotoxin) หนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก เหมือนกับหมึกบลูริงค์ปลาปักเป้ามีแบ็คทีเรียในร่างกายที่ผลิตสาร เตตร้าด็อกซิน ว่ากันว่าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ 275 เท่า และทำให้เส้นประสาทของระบบหายใจเป็นอัมพาตไปเลย ปลาปักเป้าสะสมเตตร้าดอกวินไว้ในตัวของพวกมันได้ เพราะมันพัฒนาระบบประสาทให้มีภูมิต้านพิษ อย่างไรก็ตามมนุษย์ไม่มีภูมิต้านทานพิษชนิดนี้อย่างแน่นอน การกลืนชิ้นเนื้อปลาปักเป้าที่มีพิษเพียงขนาดเพียงหัวเข็มหมุด สามารถทำให้ถึงตายได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บางคนหยุดยั้งที่จะกินมัน ในญี่ปุ่นปลาปักเป้าเรียกว่า ฟุกุ เนื้อปลาปักเป้าเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่ต้องเตรียมโดยผู้เชี่ยวชาญ พิษเตตร้าด็อกซินมีอยู่หนาแน่นในรังไข่ ลำไส้ และตับปลา ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้ต้องขจัดออกอย่างระมัดระวัง และเนื้อต้องล้างอย่างทั่วถึงก่อนการเสิร์ฟ

อันดับที่ 1 กบลูกดอกพิษ (Poison Dart Frog)


สัตว์ที่มีพิษมากที่สุดในโลกอยู่ลึกไปในป่าฝนของอเมซอน โชคดีที่หาตัวพวกมันได้ง่าย มันคือกบลูกดอกพิษ พวกมันมีขนาดเพียงแค่ราวหัวแม่มือเท่านั้น และกบเพียงตัวเดียวมีพิษในผิวหนังที่จะฆ่าคนได้ถึง 50 คน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเหล่านี้ได้ชื่อของพวกมันก็เพราะชาวพื้นเมืองทาสารหลั่งจากผิวหนังของกบชนิดนี้ไว้ที่ปลายลูกดอกที่ใช้ล่าสัตว์ พิษรุนแรงกว่าเตตร้าด็อกซินที่พบในปลาปักเป้าถึงสิบเท่า และทำงานโดยการปิดกั้นการส่งผ่านของการกระตุ้นของเส้นประสาท และที่น่าแปลกก็คือพิษที่อยู่ในผิวหนังของพวกมันคือสาร เบทรัคโคท็อกซิน (Batrachotoxin) สารตัวเดียวกับที่พบในนกพิทุย (Pitohui)  ในปาปัวนิวกินีที่อยู่ไกลออกไป แต่สารนี้พบในนกพิทุยในปริมาณที่น้อยกว่ามาก เป็นเรื่องแปลกว่า กบลูกดอกพิษและนกพิทุยเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร จนเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า แมลงปีกแข็งที่นกพิทุยกินในปาปัวนิวกินี ก็พบในโคลัมเบียที่ซึ่งกบอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน

*** นิวโรทอกซิน (Neurotoxin)  เป็นกลุ่มสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ในสัตว์ทะเลที่มีพิษส่วนใหญ่จะเป็นสารพิษในกลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่นสารพิษ Tetrodotoxin ที่พบในปลาปักเป้าและหมึกบลูริงก์ ***
แหล่งรวมบทความสารคดีประวัติศาสตร์ บทความสารคดีจักรวาลและดาวเคราะห์ บทความสารคดีสงคราม บทความสารคดีภัยธรรมชาติ บทความสารคดีชีวิตสัตว์ บทความสารคดีอาวุธทางการทหาร บทความสารคดีการจัดอันดับ บทความสารคดีวิทยาศาสตร์ บทความสัมภาษณ์คนดัง บทสนทนาปัญหาเศรษฐกิจ บทสนทนาประเด็นข่าวร้อน เรื่องราวน่ารู้ ความรู้ทั่วไป สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ผู้หญิง ความงาม แม่และเด็ก สัตว์เลี้ยง อาหาร ร้านอาหาร เกมส์ เทคโนโลยี มาดูกันได้ที่  จัดอันดับ

15 สายพันธุ์สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์

15 สายพันธุ์สัตว์โลกสวยงามที่ใกล้สูญพันธุ์

1. เสือดาวหิมะ (Snow Leopard)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Uncia uncia หรือ Panthera uncia
เสือดาวหิมะเป็นสายพันธุ์แมวขนาดปานกลาง มีถิ่นกำเนิดตามเทือกเขาในเอเชียกลาง มันมีจำนวนราวๆ 3,500 ถึง 7,000 ตัว

2. นกฟลามิงโก (Flamingos) 


นกฟลามิงโกเป็นสัตว์ที่อยู่ในวงศ์ Phoenicopteridae และอยู่ในจำพวกPhoenicopterus มีนกฟลามิงโกอยู่ 4 สายพันธุ์ในอเมริกา

3. แพนด้ายักษ์ (Giant Panda)


ขณะนี้ทั่วโลกมีแพนด้ายักษ์อยู่ประมาณ 1,590 ตัว

4. หมีขั้วโลก (Polar Bear)


หมีขั้วโลกมีชื่อวิทยาสาสตร์ว่า Ursus maritimus มีถิ่นกำเนิดขนาดใหญ่อยู่ที่อาร์คติคเซอร์เคิลที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรอาร์คติค

5. ปลามังกร, ปลาตะพัด, ปลาอะโรวาน่า (Arowana)


ปลามังกรเป็นปลากระดูกแข็ง อาศัยในน้ำจืด อยู่ในวงศ์ Osteoglossidae บางครั้งเรียกว่าปลาลิ้นกระดูก (Bonytongues)

6. แพะป่ามาร์คอร์ (Markhor)


มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Capra falconeri มีถิ่นกำเนิดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน อินเดียเหนือ (ตะวันตกเฉียงใต้ของจัมมูและแคชเมียร์) ภาคเหนือและภาคกลางของปากีสถาน มีประชากรตัวเต็มวัยน้อยกว่า 2,500 ตัว ซึ่งยังลดลงอย่างต่อเนื่อง

7. เสือดาว (Leopard)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera pardus วงศ์ Felidae
จัดเป็นสายพันธุ์แมวขนาดใหญ่แต่มีขนาดเล็กที่สุดจาก 4 สายพันธุ์ อีก 3 สายพันธุ์คือ เสือ สิงโต และเสือจากัวร์

8.เสือเบงกอล, เสือโคร่ง, เสือลายพาดกลอน (Bengal Tiger)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera tigris tigris หรือ Panthera tigris bengalensis
เป็นเสือสายพันธุ์หนึ่งพบมากในอินเดีย ตามข้อมูลขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ กองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wide Fund for Nature-WWF) พบว่ามีเสือเบงกอลตามธรรมชาติอยู่ประมาณ 2,000 กว่าตัวทั่วโลก (1,411 ตัวในอินเดีย, 450 ตัวในบังคลาเทศ, 150 ตัวในเนปาล, 100 ตัวในภูฏาน ที่เหลืออยู่ในพม่า ไทย และจีน

9. ฮิโรลา (Hirola)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Beatragus hunteri หรือ Damaliscus hunteri
เป็นละมั่งสายพันธุ์หนึ่งพบในที่ราบป่าหญ้าแห้งที่อยู่ตรงชายแดนระหว่างเคนยาและโซมาเลีย ฮิโรลามีจำนวนวิกฤตที่จะสูญพันธ์ อยู่ประมาณ 500 ถึง 1,200 ตัวในธรรมชาติ

10. หมาใน, หมาแดง (Dhole)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuon alpinus
มีจำนวนประมาณ 2,000 ตัวที่อาศัยอยู่ในป่า

11. หมาจิ้งจอกแดง (Red Fox)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Vulpes vulpes
เป็นสายพันธุ์หมาป่าขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในอเมริกาเหนือ ยูเรเชีย และแอฟริกาเหนือ

12. เพนกวินมาเจลลัน (Magellanic penguin)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Spheniscus magellanicus
อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ เช่นชายฝั่งทะเลของอาร์เจนติน่า ชิลี และ หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ และบางส่วนที่ย้ายถิ่นฐานไปบราซิล

13. กระรอกบินนัมดาฟา (Namdapha Flying Squirrel)

ชื่อวิทยาศาสตร์  Biswamoyopterus biswasi
มันอาศัยอยู่บนต้นไม้ ออกหากินกลางคืน มีถิ่นฐานที่อินเดีย

14. หมาป่าหิมาลายัน (Himalayan Wolf)


ชื่อวิทยาศาสตร์  Canis himalayensis
เป็นสายพันธุ์หมาป่าที่กำลังวิกฤตสูญพันธุ์ มีจำนวนประมาณ 350 ตัว

15. นกเงือกนาร์คอนแดม (Narcondam Hornbill)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhyticeros narcondami อยู่ในวงศ์ Bucerotidae
เป็นสายพันธุ์หนึ่งของนกเงือก อาศัยอยู่เฉพาะที่เกาะอินเดีย ในหมู่เกาะอันดามัน

สั่งซื้อหนังสือ อาณาจักรสัตว์ Grand Atlas of Animals

โลกของเรามีสิ่งมีชีวิตต่างๆมากกว่า 1,300,000 สปีชีส์ที่อาศัยอยูทุกมุมโลกทั้งบนบกและในน้ำ อาณาจักรสัตว์เล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักสัตว์ต่างๆที่หลากหลายและน่าทึ่ง รวมถึงแสดงลักษณะทางกายวิภาค,สรีรวิทยาและพฤติกรรมของสัตว์เหล่านั้น
ปกแข็ง ภาพสี่สี่ทั้งเล่ม อ่านง่าย เปิดโลกการเรียนรู้


บทความแนะนำ

        5 อันดับเพชรฆาตใต้ทะเลลึก 10 อันดับแมลงต่อยเจ็บนาน 10 อันดับสัตว์ผีดูดเลือด 10 อันดับสัตว์แปลกที่คนไทยนิยมเลี้ยงมากที่สุด กระต่าย              25 สัตว์น้ำรูปร่างหน้าตาประหลาด 10 อันดับสัตว์มีพิษ 10 อันดับสัตว์สถาปนิก 10 อันดับการคิดค้นของสัตว์        


ดูบทความเมนูอาหารทั้งหมด ดูบทความภัยอันตรายทั้งหมด ดูบทความสุขภาพทั้งหมด ดูบทความวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความสยองขวัญทั้งหมด ดูบทความชีวิตสัตว์ทั้งหมด ดูบทความประวัติศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความจัดอันดับทั้งหมด สารบัญบทความ


CANNIBALISM SERIAL KILLER

CANNIBALISM SERIAL KILLER
Ever since the Stone Age, human beings have indulged in cannibalism, either for dietary or ritual reasons. The prehistoric hominids known as Homo erectus enjoyed supping on the brains of their fellow cavemen. Aborigines throughout the world, from New Zealand to North America, routinely devoured the hearts of enemy warriors as a way of absorbing their courage. Ceremonial cannibalism was a central feature of the Aztec religion. And Fijians consumed human flesh (which they called puaka balava or “long pig”) just because they liked its taste.

In the Judeo-Christian tradition, however, cannibalism is regarded with such intense abhorrence that when faced with a choice between eating other humans or starving to death, some people have opted for the latter. (This was the case, for example, with several survivors of the famous 1972 plane crash that stranded a party of young Uruguayans in the high Andes.) As a result, of all the horrors associated with serial killers, cannibalism strikes many people as the worst. When Thomas Harris, author of The Silence of the Lambs, set out to create the most monstrous serial killer imaginable, the result was Dr. Lecter, aka “Hannibal the Cannibal,” whose idea of a gourmet meal is human liver with fava beans and a nice Chianti on the side.

In point of fact, however, real-life cannibal killers are relatively few and far between. For reasons that can only be surmised, Germany has produced a disproportionately high percentage of twentieth-century people eaters. During the social chaos of the 1920s, the hideously depraved Fritz Haarmann slaughtered as many as fifty young boys, dined on their flesh, then sold the leftovers as black-market beef. His equally degenerate countryman Georg Grossmann also supplemented his income by peddling human flesh, though his preferred victims were plump young females, whose meat he made into sausages. Yet another postwar German cannibal was Karl Denke, an innkeeper who killed and consumed at least thirty of his lodgers.

At about the same time in America, the sadomasochistic madman Albert Fish was roaming the country, preying on small boys and girls. He was finally executed for the abduction-murder of a pretty twelve-year-old named Grace Budd, parts of whose body he made into a stew. In recent years, the “Milwaukee Monster,” Jeffrey Dahmer, has served as a grotesque reminder that the forbidden urge to consume human flesh may still lurk beneath the surface of supposedly civilized life.

Appalling as they were, Dahmer’s crimes were outstripped by the Russian “Mad Beast,” Andrei Chikatilo, who—with a confirmed body count of fifty-two victims—holds the record as the worst serial killer of modern times. Among his countless atrocities, Chikatilo devoured the genitals of some of his victims—a practice that left him (according to his captors) with a telltale case of bizarre halitosis.

A cannibalistic contemporary of Chikatilo and Dahmer was Arthur Shawcross, whose wildly sadistic tendencies first found free play in the jungles of Vietnam, where (according to his own account) he raped, slaughtered, and cannibalized two peasant women during an army combat mission. Shawcross’s subsequent career of psychopathic violence included the murder of a ten-year-old boy whose genitals he devoured, and the strangulation of a string of prostitutes whose bodies he dumped in the woods in upstate New York. Occasionally, he would sneak back to the body weeks after the murder, then cut out and eat pieces of the decomposing corpse (a particularly abhorrent form of cannibalism technically known as necrophagy).

During the past twenty-five years or so, there have been a number of appalling cannibal killers who might well have become full-fledged serial murderers if they hadn’t been arrested after committing a single atrocity. These include Albert Fentress, a former schoolteacher in Poughkeepsie, New York, who, in the summer of 1979, lured an eighteen-year-old boy into his basement, cut off and ate the victim’s penis, then shot him to death; Issei Sagawa, a Japanese national living in Paris who, in 1981, killed his girlfriend, had sex with her corpse, then dismembered and ate parts of her body; Daniel Rakowitz, who likewise murdered and dismembered his girlfriend, then boiled her into a soup which he allegedly served to homeless people on New York’s Lower East Side in 1989; and Peter Bryan, a British schizophrenic arrested in 2004 after killing a friend and frying his brain for consumption.

Most bizarre of all is undoubtedly Armin Meiwes, a middle-aged German computer technician who, in 2001, advertised for a victim willing to be slaughtered and consumed (see Ads). When a forty-three-year-old man named Bernd-J?rgen Brandes showed up in response to this Internet posting, Meiwes—with Brandes’s full approval—sliced off the latter’s penis. The two men then shared a meal of the severed organ. Brandes was then stabbed to death, dismembered, and frozen for future consumption.

Meiwes was arrested shortly thereafter. Since Germany has no laws against cannibalism, he was charged with murder “for sexual satisfaction” and “disturbing the peace of the dead.” His attorney at his 2004 trial attempted to argue that since Brandes consented (indeed, eagerly cooperated) in his own death, the case should be classified as a mercy killing. The court was not convinced. Meiwes was convicted of manslaughter and sentenced to eight and a half years in prison, though in April 2005, prosecutors—objecting to the leniency of the sentence—won an appeal for a retrial.

Despite Meiwes’s claim that he had gotten his cannibalistic urges out of his system—“I had my big kick and I don’t need to do it again,” he declared—there is reason to doubt his word. Certainly, if he had chosen to indulge his unnatural appetites a second time, he would have had a varied menu to choose from. At his trial, a state police inspector testified that Meiwes’s computer files showed that his ad had drawn responses from 204 applicants looking to be his next meal.

In the realm of serial-killer cinema, cannibalism features prominently in Tobe Hooper’s splatter classic The Texas Chainsaw Massacre, about a family of deranged good ol’ boys who turn unwary teens into barbeque. Like Psycho and The Silence of the Lambs, Hooper’s movie was inspired by the crimes of Edward Gein. Ostensibly, investigators found unmistakable signs of cannibalism in Gein’s horror house—a human heart in a frying pan, a refrigerator stocked with paper-wrapped body parts. This allegation, however, was just one of many hysterical rumors that floated around in the wake of his crimes. Though Ghoulish Gein committed all sorts of unspeakable acts, cannibalism was apparently not one of them. He did, however, enjoy eating baked beans from a bowl made out of a human cranium.

5 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้า

5 สุดยอดร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
ที่มารายการ Top 5 ทางรายการได้จัดนักชิมมาให้คะแนนวัตถุดิบหลักของ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ได้แก่  เส้นใหญ่ น้ำราดหน้า หมูหมัก ผักคะน้า มาดูกันว่าร้านราดหน้าร้านไหนได้คะแนนส่วนประกอบหลักแต่ละอย่างเท่าไหร่ ใครที่ชอบราดหน้าแต่ไม่รู้จะไปกินที่ไหน มีพิกัดร้านราดหน้า อร่อยๆ ให้คุณตามไปลองกินกัน

1. ภัตตาคารจ๊ากกี่
ถ้าพูดถึงราดหน้าดังย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่อยู่คู่ซอยรางน้ำมากว่า 50 ปี เข้ามาทางซอยวัฒนโยธิน ทุกๆ ท่านคงจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า "จ๊ากกี่" แน่นอน ก็ภัตตารคารจ๊ากกี่เขาดังในเรื่องราดหน้าเป็นพิเศษ ด้วยน้ำที่ข้นขลุกขลิก รสชาติเข้มข้นและผักคะน้าชั้นยอด ใครๆ ที่มากิน ยังไงก็ต้องติดใจ ถึงแม้ราคาจะแพงถึงจานละร้อย

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าภัตตาคารจ๊ากกี่
ราดหน้าเส้นใหญ่เหนียวนุ่ม หมูหมักเครื่องรสชาติถึงเนื้อ เสริ์ฟพร้อมยอดผักคะน้ากรุบกรอบ ราดด้วยน้ำราดรสจัดจ้านตามแบบฉบับของทางร้านโดยเฉพาะ

พิกัดภัตตาคารจ๊ากกี่
ซอยรางน้ำอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

2. ร้านตั้งใจอยู่
วิ่งไปทางเส้นพระรามสี่ มุ่งสูถนนสุรวงศ์ มองหาตึกวอลล์สตรีททาวเวอร์ ก็จะพบกับภัตตาคารตั้งใจอยู่ ราดหน้าของที่นี่ผ่านการปรุงจากเชฟผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเสิร์ฟราดหน้าแบบแยกเส้นที่มีให้เลือกถึงสองแบบ นั่นก็คือแบบผัดและแบบทอดกรอบ เรียกได้ว่าเก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใครเลย

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านตั้งใจอยู่
ราดหน้าจานยักษ์ที่แยกเสิร์ฟระหว่างน้ำราดหน้ากับเส้นที่มีให้เลือกถึงสองแบบทั้งแบบผัดและแบบทอดกรอบเรียกได้ว่าอร่อยเด่นไม่เหมือนใคร ผสมผสานกับหมูหมักชิ้นโตและผักคะน้าที่กรอบพอดีคำ

พิกัดร้านตั้งใจอยู่
ถนนสุรวงศ์ตึกวอลล์ สตรีท

3. ร้านเคี้ยงเอ็มไพร์
มุ่งตรงไปที่ซอยจุฬา 20 จะเห็นร้านที่กำลังผัดราดหน้าไฟลุกโชนอยู่ตรงหัวมุมถนน นั่นก็คือราดหน้าเคี้ยงเอ็มไพร์ เปิดขายราดหน้ามากว่า 20 ปี ราดหน้ารสชาติเยี่ยมจนได้รับรางวัลการันตีต่างๆ มากมาย ด้วยหมูหมักแสนนุ่ม ผสานกับกลิ่นหอมของเส้นที่ผัดด้วยไฟแรงๆ ราดด้วยน้ำราดที่แสนกลมกล่อม ที่สำคัญราคาไม่แพง ใครที่ได้กินราดหน้าของที่นี่ขอบอกว่าคุ้มค่าจริงๆ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านเคี้ยงเอ็มไพร์
ราดหน้ารสชาติอร่อยล้ำลึกด้วยเส้นที่หอมกลิ่นไฟ หมูหมักที่ใช้เวลาหมักนานถึงสองวันและผักคะน้าที่หวานกรอบ เรียกว่าผสมผสานได้อย่างลงตัวทำให้รสชาติอร่อยโดดเด่น ไม่เหมือนใคร

พิกัดร้านเคี้ยงเอ็มไพร์
ตลาดสวนหลวง ซอยจุฬา 20

4. ร้านอยู่อี่
มากันที่เยาวราช ถนนเจริญกรุงจะเจอร้านราดหน้าเจ้าอร่อยนั่นก็คือร้านอยู่อี่ จุดเด่นของร้านนี้คือผักคะน้าที่ถ้าสั่งจานพิเศษจะคัดเอาแค่เฉพาะแกนอ่อนมาเสิร์ฟ รสชาติอร่อยแตกต่างจากคะน้ายอดผักทั่วไปพร้อมกับน้ำราดหน้าสูตรฮ่องกงแท้ๆ รสชาติหวานมันที่เมื่อได้ทานแล้วพูดได้คำเดียวว่าอร่อยจนหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านอยู่อี่
ราดหน้ารสชาติหวานมัน อร่อยกลมกล่อมด้วยแกนคะน้าอ่อนสีเขียวสดคุณภาพดี ผสมผสานกับหมูหมักเลิศรสและการปรุงน้ำราดหน้าสไตล์ฮ่องกงแท้ๆ ทำให้ราดหน้าร้านอยู่อี่อร่อยจนหยุดไม่ได้

พิกัดร้านอยู่อี่
เยาวราชด้านถนนเจริญกรุง

5. ภัตตาคารแสนยอดโภชนา
และร้านสุดท้ายเดินทางเข้ามาสู่ถนนเจริญกรุง เข้าถนนเจริญเวียง ตรงสุดซอย เลี้ยวขวาเล็กน้อยขะเจอกับภัตตาคารแสนยอดโภชนา ด้วยราดหน้ารสเข้มข้น บวกด้วยเนื้อหมูชั้นเยี่ยมที่คัดสรรมาให้ลูกค้ารับประทาน และที่สำคัญคือผักคะน้าฮ่องกงที่ส่งตรงมาจากเมืองจีนที่มาพร้อมความกรอบและมีเส้นใยน้อย บอกได้คำเดียวว่า คุณภาพ รสชาติ ช่างลงตัวไปหมดทุกอย่างจริงๆ

จุดเด่นของก๋วยเตี๋ยวราดหน้าร้านแสนยอดโภชนา
ราดหน้าสไตล์ภัตตาคารแท้ๆ ด้วยยอดคะน้าฮ่องกงแสนอร่อยที่นำเข้าจากเมืองจีน หมูที่หมักจนได้ที่ผสมผสานกับน้ำราดหน้าสูตรฮ่องกงแท้ๆ ราดลงบนเส้นใหญ่ที่ผัดได้กำลังดี เรียกได้ว่าลงตัวไร้ที่ติ

พิกัดภัตตาคารแสนยอดโภชนา
ในซอยเจริญเวียง เชิงสะพานตากสิน

คะแนนส่วนประกอบต่างๆ ในราดหน้า
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของเส้นใหญ่      ร้านราดหน้าอยู่อี่ได้คะแนนมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของน้ำราดหน้า  ร้านราดหน้าภัตตาคารแสนยอดโภชนาคะแนนมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของหมูหมัก       ร้านราดหน้าภัตตาคารจ๊ากกี่ได้คะแนนมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ยความอร่อยของผักคะน้า      ร้านราดหน้าภัตตาคารแสนยอดโภชนาคะแนนมากที่สุด

10 สถานที่ผีสิงหลอนกระฉ่อนโลก

10 สถานที่ผีสิงหลอนกระฉ่อนโลก

10 สถานที่ผีสิงหลอนกระฉ่อนโลก
1. บอร์ลีย์ เรกทอรี, เอสเซ็กซ์, อังกฤษ
บ้านผีสิงบอร์ลีย์ เรกทอรี โด่งดังมากในอังกฤษช่วงสมัยยุค 20-30 พอๆ กับการถกเถียงกันเป็นวงกว้าง บางเรื่องก็อธิบายได้ และบางเรื่องจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าอะไรแปลกๆ ที่เคยมีคนพบมากมายว่าคืออะไร

2. บ้านเวลลีย์, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐฯ
นักเขียนนาม เดอเทรซี เรกูลา บรรยายประสบการณ์ของเธอถึงบ้านหลังนี้ว่าเคยเห็นหน้าต่างชั้นบนเปิด ทั้งที่มันปิดมานานและพอเข้าไปในบ้านเธอก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างในหลายจุด ได้กลิ่นซิการ์ในห้องโถง ได้กลิ่นน้ำหอมตรงทางเดิน และได้คุยกับเด็กสาวที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นวิญญาณ!

3. เรย์นแฮมฮอลล์, นอร์ฟอร์ค, อังกฤษ
เป็นสถานที่บันทึกภาพผีชื่อดัง เลดี้บราวน์ ผีผู้หญิงที่ถ่ายได้ตรงบันไดของบ้าน อดีตเคยเป็นของครอบครัวทาวน์เซนด์มา 300 ปี แต่หลังจากภาพผีผู้หญิงแล้วก็ไม่มีรายงานว่าพบอะไรแปลกประหลาดที่นี่อีก

4. โรงนาไมร์ทเลส, หลุยส์เซียนา, สหรัฐฯ
โรงนาไมร์ทเลส สร้างในปี 1796 โดยนายพล เดวิด แบรดฟอร์ด ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในบ้านที่มีผีสิงชุมที่สุดในอเมริกา กล่าวกันว่าอย่างน้อยก็ตั้ง12 ตน โดยมีรายงานว่าเป็นผีฆาตกร 10 ราย แต่ในบันทึกพบเพียงฆาตกรนาม วิลเลียม วินเตอร์ นอกจากนี้ยังมีวิญญาณผีผู้หญิงที่เป็น
ทาสอีกต่างหาก

5. สถานกักกันอีสเทิร์นสเตต, ฟิลาเดลเฟีย, สหรัฐฯ
ออกแบบโดย จอห์น ฮาวิลแลนด์ และเปิดทำการในปี 1829 รู้จักกันว่าเป็นสถานกักกันแห่งแรกในโลก เป็นการปฏิวัติสถานกักกันหรือเรือนจำ และเมื่อปี 2007 รายการทีวีชื่อ ‘Most Haunted’ ได้เข้าไปถ่ายทำด้วยการไปที่ห้องขังของอดีตเจ้าพ่อ อัล คาโปนส์ หนึ่งในทีมงานบอกขณะทำการสำรวจว่าเป็นสถานที่มีปีศาจร้ายมากมายที่สุดเท่าที่เคยพบ ส่วนทีมงานอีกรายก็อ้างว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณได้ แต่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือมั่ว

6. ทาวเวอร์ออฟลอนดอน, ลอนดอน, อังกฤษ
พระราชวังและป้อมปราการของลอนดอน เรียกสั้นๆ ว่า เดอะทาวเวอร์ เป็นโบราณสถานกลางกรุงลอนดอน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำเทมส์ เป็นที่รู้กันดีว่าคือสถานสิงสู่ของผี แอนน์ โบลีน หนึ่งในมเหสีของกษัตริย์เฮนรีที่ 8 ซึ่งถูกกุดหัวในวังแห่งนี้เมื่อปี 1536 และที่เห็นกันบ่อยๆ คือวิญญาณที่ว่ากันว่าเป็นเธอเดินถือหัวไปไหนมาไหนนั่นเอง

7. โรงพยาบาลเวฟเวอรีฮิลล์, เคนตักกี, สหรัฐฯ
เปิดทำการเมื่อปี 1910 มีคนไข้วัณโรคราว40-50 คน โด่งดังจากรายการทีวีในฐานะโรงพยาบาลที่มีผีสิงเยอะสุดในอเมริกาฝั่งตะวันออก ทั้งเป็นหนึ่งใน‘สถานที่น่ากลัวที่สุดบนโลก’ ทางช่อง เอบีซี/ฟ็อกซ์ เป็น ‘โปรเจกต์เหนือธรรมชาติชื่อดัง’ ในรายการทางช่อง วีเอช 1 ออกอากาศทาง
รายการ ‘ล่าผี’ ช่องไซไฟแชนแนล และจากการเข้าไปลองท้าผีหลายครั้งก็พบอะไรแปลกๆ หลายสิ่ง เช่น เสียงแปลกๆ ที่ไม่เคยมีใครได้ยิน, เงาอะไรก็ไม่รู้, อยู่ๆ ก็เย็นยะเยือก รวมถึงเสียงกรีดร้องก้องตามทางเดิน

8. ควีนแมรี, แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐฯ
เรือควีนแมรี เป็นของบริษัทเดินเรือ คูนาร์ด ไลน์ ล่องอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างปี 1936-1967 ก่อนจะถูกขายไปยังลองบีช แคลิฟอร์เนีย ในปี 1967 และถูกแปลงเป็นโรงแรม ส่วนที่ว่ากันว่ามีผีสิงชุกที่สุดคือแถวที่เคยเป็นห้องเครื่อง บริเวณที่เคยมีเด็กหนุ่มตายเพราะหนีไฟไหม้ มีคนเคยได้ยินและบันทึกเสียงเคาะ รวมทั้งเสียงโครมครามตามท่อแถวประตูได้หลายครั้ง และตรงบริเวณเคาน์เตอร์ต้อนรับก็เคยมีคนเห็น ‘ผู้หญิงชุดขาว’ รวมทั้งผีเด็กที่มีคนบอกว่ามักชอบโผล่มาตรงแถวสระน้ำอีกต่างหาก

9. ทำเนียบขาว, วอชิงตัน ดีซี, สหรัฐฯ
อดีตประธานาธิบดีแฮร์ริสันเคยบอกว่าได้ยินเสียงรื้อค้นหาอะไรของใครก็ไม่ทราบ ดังมาจากห้องใต้หลังคาของทำเนียบขาว ส่วนอดีตปธน. แอนดรูว์ แจ็คสัน ก็คิดว่าในห้องนอนของเขามีผีสิง และเคยมีคนเห็น เอบิเกล อดัมส์ อดีตสตรีหมายเลข 1 ลอยไปลอยมาอยู่ตรงทางเดิน แต่ผี อับราฮัม ลินคอล์น เหมือนจะมีคนเห็นมากที่สุด เอลีนอร์ รูสเวลต์ เคยบอกว่าเหมือนลินคอล์นมายืนมองเธอขณะอยู่ในห้องนอนของเขา และอีกครั้ง เจ้าหน้าที่รายหนึ่งก็อ้างว่าเห็นด้วยสองลูกตาว่าท่านปธน.รายนี้กำลังนั่งถอดบูตอยู่ที่เตียง

10. ปราสาทเอดินเบิร์ก, เอดินเบิร์ก, สกอตแลนด์
ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งมีผีชุกชุมมากที่สุดในสกอตแลนด์ ส่วนเมืองเอดินเบิร์กเองก็ถูกยกย่องแบบหลอนๆ ว่าเป็นเมืองที่มีผีเยอะสุดๆ ในยุโรปเหมือนกัน บางทีก็มีคนเห็นผีเป่าปี่สกอตต์, คนตีกลองหัวขาด วิญญาณคนคุกฝรั่งเศสจากสงคราม 7 ปี รวมไปถึงผีนักโทษอเมริกันที่จับมาจากสงครามปฏิวัติในอเมริกา และยังมีหมาผีที่มาจากสุสานหมาอีกด้วย

ที่มา ยำสยอง Youtube Channel

สั่งซื้อ ผียุโรป เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีหลังห้อง เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีเอเชีย เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีอังกฤษ เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีหอพัก เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีไทย เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีจีน เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อผีรัสเซียเรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อผีอเมริกัน ผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีญี่ปุ่น เรื่องผีรอบโลก
สั่งซื้อ ผีเพื่อนเฮี้ยน
สั่งซื้อ ผีข้างบ้าน
สั่งซื้อ ผีโรงพยาบาล
สั่งซื้อ ผีโรงเรียน รอบโลก
สั่งซื้อวิธีหลอนเรียกผี
สั่งซื้อ เรื่องเฮี้ยนเขย่าขวัญ


รีวิวหนังสือชุด เรื่องผีๆ รอบโลก



บทความแนะนำ

        10 สุดยอดเรื่องเล่าสยองขวัญเดอะช็อค สาวชุดดำ เล่าเรื่องสยองขวัญ แรงงานต่างด้าว วิญญาณอาฆาต              เล่าเรื่องผี สโมสรร้าง เล่าเรื่องผี มาเอาแม่ผมไปทำไม เล่าเรื่องสยองขวัญ แดนพิศวง เล่าเรื่องสยองขวัญ เจอดีตอนธุดงค์        


ดูบทความเมนูอาหารทั้งหมด ดูบทความภัยอันตรายทั้งหมด ดูบทความสุขภาพทั้งหมด ดูบทความวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความสยองขวัญทั้งหมด ดูบทความชีวิตสัตว์ทั้งหมด ดูบทความประวัติศาสตร์ทั้งหมด ดูบทความจัดอันดับทั้งหมด สารบัญบทความ